วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2552

บักฮื้อกับไม้เคาะ

ในสมัยก่อนทุกมีชายคนหนึ่งชื่ออาเป่า เขาอาศัยอยู่บรืเวณเชิงเขา ตอนเช้าทุกวัน เขาจะแบกจอบไปทำนาบนไหล่เขา


มีอยู่วันหนึ่งเมื่อไปถึงที่นาแล้ว เขาได้ยินเสียวร้องที่โศกสลดของกบ จึงเดินไปตามทางที่ได้ยินเสียงนั้นและ
ได้เห็นงูตังหนึ่งกำลังงับกบตัวหนึ่งอยู่ในปากเขาจึงใช้จอบที่ถืออยู่ตีงูตัวนั้น เพื่อรักษาชีวิตของมัน
มันจึงอ้าปากปล่อยกบตัวนั้นออกไป แล้วมันเองก็เลื้อยหนี

วันเวลาผ่านไปได้สักระยะหนึ่ง ในเย็นวันหนึ่ง ขณะที่อาเป่ากำลังเคลิ้มหลับอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงกบร้องดังขึ้นมา เขาไม่สามารถนอนต่อได้
จึงได้ลืมตาขึ้นมาแล้วก็เห็นงูตัวหนึ่งที่มุมมุ้ง อาเป่าจึงรีบลุกขึ้นและตีงูตัวนั้นตายไป

วันเดือนปี ผ่านไปอีกเนิ่นนาน นานจนอาเป่า ลืมเรื่องที่ตีงูตายไปแล้ว อยู่มาวันหนึ่ง เขาได้พบสุนัขที่น่ารักตัวหนึ่งบนถนนเขารู้สึกชอบสุนัขตัวนั้น และเมื่อสุนัขตัวนั้นได้เห็นเขา มันก็เดินตามเขาขึ้นไปด้วย และเมื่ออาเป่าเดินลงเขาเพื่อกลับบ้าน มันก็เดินตามกลับไปด้วย

วันหนึ่งอาเป่าได้พาสุนัขนั้นเดินขึ้นเขาเหมือนเคย ได้ผ่านวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีพระรูปหนึ่งยืนอยู่หน้าวัด พระรูปนั้นได้พูดกับอาเป่าว่า" ขอให้สุนัขตัวนี้เผ้าประตูวัดได้หรือไม่ " อาเป่าไม่ยินยอม จึงพูดกับพระรูปนั้นไปว่า "ทุกๆวันเจ้าสุนัขตัวนี้มันจะเดินตามกะรผมขึ้นลงเขาด้วยกันถ้าไม่มีมันก็เหมือนกับขาดเพื่อคู่ใจไป เหมือนกับว่าผมกับมันมีสัมพันธ์ต่อกันมาก่อน"

แท้จริงแล้วพระรูปนั้นต้องการแก้เหตุต้นผลกรรมระหว่างอาเป่ากับสุนัขตัวนั้นให้ จึงพูดกับอาเป่าไปว่า "สุนัขตัวนี้คืองูตัวที่ประสกตีตายไป และมันได้เกิดมาเป็นมุนัขตัวนี้ ถ้าหากประสกไม่เชื่อก็คอยดู ในตินกลางคืนของ วัน...เดือน..ปี... ให้ประสกเตรียมถุงใส่น้ำสีแดงวางไว้บนเตียง แล้วนำผ้าห่มคลุมปิดลงไป เมื่อถึงเวลานอนให้ปิดประตู ล็อคกลอนให้เรียบร้อย แล้วแอบมองดูใกล้ๆ ประสกก็จะเข้าใจได้เอง"

เมื่อถึงวันๆนั้นมาถึงแล้ว อาเป่าคิดว่าพระรูปนั้นคงจะไม่โกหกเขา จึงได้ทำตามคำแนะนำของพระรูปนั้น โดยเตรียมถุงน้ำแดง หาฟางมาคลุมทับ และเอาผ้าห่มปิดคลุมไว้อีกที พร้อมทั้งปิดประตูลงกลอน ส่วนตัวเขาเองก็คอยแอบดูอยู่

ไม่นานนัก สุนัขตัวนั้นก็อาละวาดขึ้นมา มันพยายามที่จะตะเกียกตะกาย ปีนป่ายเข้าไปปในห้องนั้นแต่ประตูลงกลอนเอาไว้แล้ว เมื่อมันไม่สามารถเข้าทางประตูได้จึงกระโดดเข้าไปทางหน้าต่างแทน....แล้วจึงกระโจนขึ้นไปบนเตียงทั้งกัดทั้งขย้ำจนถุงน้ำสีแดงนั้นแตก แต่มันก็ยังไม่พอใจแลอาละวาดต่ออย่างน่ากลัว

เมื่ออาเป่าเห็นเช่นนั้น ก็เกิดความโมโห และคิดในใจว่าฉันอุตส่าห์เลี้ยงดูแกเป็นอย่างดี แกก็เดินล้อมหน้าล้อมหลังฉันขึ้นเขาและลงเขาด้วยกัน วันนี้แกกลับจะทำร้ายฉัน ดังนั้นเพียงแค่อารมณืโมโหชั่ววูบ เขาจึงคว้าไม้ท่อนหนึ่งและตีสุนัขตัวนั้นตายไป เป็นการผูกกรรมต่อกันอีกทอดหนึ่ง

วันเวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่งอาเป่าก็ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นอีกเช่นเคย เช้าตรู่ของวันหนึ่ง อาเป่าก็เดินขึ้นเขาเพื่อไปทำนาด้วยอารมณ์ที่เปิกบานแจ่มใส ขณะที่เดินผ่านวัดแห่งนั้น พระรูปเดินก็ได้ยืนคอยเขาอยู่ที่หน้าประตูวัดแล้ว ท่านได้บอกกับอาป่าว่า "วันนี้ถ้าประสกได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเอง จงอย่าได้หันไปมอง" อาเป่าจึงตอบรับไปว่า "ขอรับพระคุณเจ้า" เขาได้เดินขึ้นเขาต่อด้วยอารมณ์ที่สดชื่นแจ่มใส มองดูทิวทัศน์บรรยากาศ ก็รู้สึกว่าสวยงามเป็นพิเศษ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเรียกว่า "อาเป่าๆ ๆ" อยู่หลายครั้ง เขาจึงลืมคำพูดกำชับของพระรูปนั้นไป และหันกลับไปมองตามเสียงเรียกชื่อเขานั้น แต่เขาก็ต้องตกในสุดขีด เพราะสิ่งที่เขาเห็นนั้นก็คือสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งหัวเป็นคน ตัวเป็นเป็นงู เขาจึงได้วิ่งกลับไปที่วัด เพื่อขอความช่วยเหลือจากพระรูปนั้นนั่นเอง เมื่อถึงวัดพระรูปนั้นจึงได้พูดขึ้นว่า "อาตมากำชับประสกแล้วว่าอย่าหันไปมอง ถ้าประสกทำตามก็จะไม่มีเรื่องอะไร แต่ตอนนี้ได้เกิดเรื่องเสียแล้ว อาตมาก็ไม่สามรถช่วนอะไรได้อีก"

เมื่อได้ฟังอย่างนั้นแล้วอาเป่าจึงคุกเข่าลงกับพื้นและอ้อนวอนขอให้พระท่านช่วยอีกครั้งหนึ่ง พระรูปนั้นจึงได้พูดขึ้นว่า "คืนนี้ประสกจงได้เข้าไปนอนในโอ่งที่อยู่ภายในโบสถ์ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แสดงว่ามันได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ถ้ายังไม่พ้น แสดงว่าเป็นเหตุต้นผลกรรมของประสกเอง"

เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นพระรูปนั้นจึงเข้าไปดูภายในโบสถ์ จึงได้เห็นสัตว์ประหลาดตัวนั้นเลื้อยพันอยู่รอบโอ่งและตายแล้ว ท่านจึงนำซากสัตว์นั้นออกจากโอ่งเพื่อช่วยอาเป่า จึงได้เห็นว่าอาเป่านอนตายอยู่ภายในโอ่งนั่นเอง ทั้งตัวกลายเป็นสีดำ ด้วยเมตตาจิตของท่าน ท่านจึงได้นำร่างของอาเป่าและร่างสัตว์ประหลาดตัวนั้นไปฝังไว้อยู่ที่ด้านหลังเขา โดยขุดเป็นหลุมสองหลุมคู่กัน หลุมหนึ่งฝังร่างอาเป่า และอีกหลุมหนึ่งฝังร่างของสัตว์ประหลาดตัวนั้น

วันเวลาผ่านไปได้ระยะหนึ่ง พระรูปนั้นก็ไปดูที่หลุมฝังร่างทั้งสองได้เห็นที่หลุมฝังร่างอาเป่ามีต้นไม้ต้นหนึ่งเกิดขึ้นมาส่วนหลุมฝังร่างสัตว์ประหลาดนั้น ก็มีเถาไม้เลื้อยชนิดหนึ่งอยู่ ไม่ว่าต้นไม้ที่หลุมฝังร่างอาเป่าจะโตเท่าไหน เถาไม้เลื้อยที่หลุมฝังร่างสัตว์ประหลาด ก็จะเลื้อยพันสูงเท่านั้น เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ท่านจึงนึกในใจว่า เหตุต้นผลกรรมเป็นเรื่องที่มลายได้ยาก หากว่าตอนมีชีวิตอยู่ไม่ยอมปล่อยวาง เมื่อตายไปแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อยวางอีก ยังคงอาฆาตแค้นตามติดไปตลอด

ท่านจึงได้ตัดต้นไม้นั้นและเถาไม้เลื้อยนั้น นำมาแกะสลักเป้นบักฮื้อและไม้เคาะบักฮื้อ และนำไปวางไว้หน้าพระพุทธรูป เพื่อต้องการใหสาธุชนที่มาที่วัด ได้รู้ถึงความเป็นมาของเหตุต้นผลกรรม เวลาสวดมนต์ก็จะนำมาใช้เคาะ ให้เกิดเสียงปลุกใจชาวโลกให้ตื่น จึงสรุปได้ว่า "เมื่อมีเหตุต้น ก็ย่อมมีผลกรรม ยากที่จะจบสิ้นเหตุต้นผลกรรมไปได้"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น