วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2552

บทสวด หมี เล่อ เจิน จิง

ไฟล์เสียง
http://audio.palungjit.com/showthread.php?t=265

บทสวดศักดิ์สิทธิ์ หมีเล่อเจินจิง
(คัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะ)

ฝอซัวหมีเล่อจิ้วขู่จิง หมีเล่อเซี่ยซื่อปู้เฟยชิง
หลิ่งเป่าฉีหลู่หลิงซันตี้ เหนี่ยนฮวาอิ้นเจิ้งเข่าซันเฉิง
ลั่วไจ้จงเอวี๋ยนซันซิงตี้ ต้าเจิ้งซื่อชวนอวั๋งเถาซิน
เทียนเจินโซวเอวี๋ยนกว้าเซิ่งเฮ่า เติ่งไต้สือจื้อเตี่ยนเสินปิง
อวิ๋นเหลยเจิ้นไคอู้จี๋ถู่ เทียนเซี่ยเสินกุ่ยปู้อันหนิง
ชินไจ้เหยินเทียนจงฮว๋าหมู่ จิ่วเหลียนเซิ่งเจี้ยวกุยซั่งเฉิง
เทียนฮวาเหลาหมู่ฉุยอวี้เซี่ยน โซวเอวี๋ยนเสี่ยนฮว่าไจ้กู่ตง
หนันเป่ยเหลี่ยงจี๋เหลียนจงซวี่ ฮุ่นเอวี๋ยนกู่เช่อไจ้จงอยัง
เหลาหมู่เจี้ยงเซี่ยทงเทียนเชี่ยว อู๋อิ่งซันเฉียนตุ้ยเหอถง
อิงเอ๋อเหย้าเสี่ยงกุยเจียชวี่ ฉือเนี่ยนตังไหลหมีเล่อจิง
ย่งซินฉือเนี่ยนฝอไหลจิ้ว ตั๋วตั่วจินเหลียนชวี่เชาเซิง
ซึเต๋อซีไหลไป๋หยังจื่อ เซี่ยงเอ๋อเตี๋ยนเถี่ยฮว่าเฉิงจิน
เหม่ยยื่อจื้อซินฉังฉือเนี่ยน ซันไจปานั่นปู้ไหลซิน
เหย้าเสี่ยงเฉิงฝอฉินหลี่ไป้ ฉังฉือชงหมิงจื้อฮุ่ยซิน
ซิวทิงเสียเหยินหูซัวฮว่า เหลาซวนอี้หม่าเนี่ยนอู๋เซิง
เหลาหมู่เจี้ยงเซี่ยเจินเทียนโจ้ว ย่งซินฉือเนี่ยนโหย่วเสินทง
หมั่นเทียนซิงโต่วโตวเซี่ยซื่อ อู่ฟังเลี่ยเซียนเซี่ยเทียนกง
เก้อฟังเฉิงหวงไหลตุ้ยเฮ่า เป้าซื่อหลิงถงฉาเตอชิง
ซันกวนต้าตี้ฉือเปยจู้ เซ่อจุ้ยซันเฉาจิ้วจ้งเซิง
จิ้วขู่เทียนจุนไหลจิ้วซื่อ ชินเตี่ยนเหวินปู้เจียตี้เสิน
ปาต้าจินกังไหลฮู่ฝ่า ซื่อเว่ยผูซ่าจิ้วจ้งเซิง
จิ๋นหลิ่งซันซึลิ่วเอวี๋ยนเจี้ยง อู๋ไป่หลิงกวนจิ่นสุยเกิน
ฝูจู้หมีเล่อเฉิงต้าเต้า เป่าอิ้วเซียงเอ๋อเต๋ออันหนิง
เป่ยฟังเจินอู่เหวยเจี้ยงไซว่ ชิงเหลี่ยนหงฝ่าเสี่ยนเสินทง
เฉอฉี่เจ้าฉีเจอยื่อเอวี้ย โถวติ่งเซินหลัวชีเป่าซิง
เวยเจิ้นเป่ยฟังเหวยโซว่โส่ว ซู่ฉิ่งจูเอ้อกว้าเจี่ยปิง
ตาจิ้วเอวี๋ยนเหยินเซียงเอ๋อหนวี่ หั่วกวงลั่วตี้ฮว่าเหวยเฉิน
ซื่อไห่หลงอวั๋งไหลจู้เต้า เก้อเจี้ยเสียงอวิ๋นชวี่เถิงคง
สือฟังเทียนปิงฮู่ฝอเจี้ย เป่าอิ้วหมีเล่อชวี่เฉิงกง
หงหยังเหลี่ยวเต้ากุยเจียชวี่ จ่วนเต้าซันหยังหมีเล่อจุน
อู๋ฮวั๋งชื่อลิ่งจี้เซี่ยเซิง โซวฝูหนันเอี๋ยนกุยเจิ้งจง
ไหลอวั่งเจ้าเซี่ยเจินเอี๋ยนโจ้ว ฉวนเซี่ยตังไหลต้าจั้งจิง
อิงเอ๋อช่าหนวี่ฉังฉือเนี่ยน เสียเสินปู้กั่นไหลจิ้นเซิน
ฉือเนี่ยนอี๋เปี้ยนเสินทงต้า ฉือเนี่ยนเหลี่ยงเปี้ยนเต๋อเชาเซิง
ฉือเนี่ยนซันเปี้ยนเสินกุ่ยพ่า อวั่งเหลี่ยงเสียหมอฮว่าเหวยเฉิน
ซิวฉือเจี๋ยเน่ยสวินลู่จิ้ง เนี่ยนฉี่เจินเอี๋ยนกุยฝอลิ่ง
หนันอู๋เทียนเอวี๋ยนไท่เป่า อาหมีถัวฝอ


หมายเหตุ คนที่จะสวดคัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะ จะต้องถือศีลกินเจตลอดชีวิตจึงจะมีพุทธานุภาพ ที่ยิ่งใหญ่ หรือถ้าใครที่ยังไม่กินเจ หรือกินบ้างเป็นบางครั้ง ก่อนที่จะสวดก็ขอให้ท่านกินเจก่อน อย่างเช่นถ้าวันนี้จะสวดคัมภีร์สัจจคาถาเมตเตยยะก็ขอให้กินเจในวันนี้แล้วจึงจะสวด

06-พระโพธิสัต(หลิวซิงอวี๋F4).mp3 -

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2552

บักฮื้อกับไม้เคาะ

ในสมัยก่อนทุกมีชายคนหนึ่งชื่ออาเป่า เขาอาศัยอยู่บรืเวณเชิงเขา ตอนเช้าทุกวัน เขาจะแบกจอบไปทำนาบนไหล่เขา


มีอยู่วันหนึ่งเมื่อไปถึงที่นาแล้ว เขาได้ยินเสียวร้องที่โศกสลดของกบ จึงเดินไปตามทางที่ได้ยินเสียงนั้นและ
ได้เห็นงูตังหนึ่งกำลังงับกบตัวหนึ่งอยู่ในปากเขาจึงใช้จอบที่ถืออยู่ตีงูตัวนั้น เพื่อรักษาชีวิตของมัน
มันจึงอ้าปากปล่อยกบตัวนั้นออกไป แล้วมันเองก็เลื้อยหนี

วันเวลาผ่านไปได้สักระยะหนึ่ง ในเย็นวันหนึ่ง ขณะที่อาเป่ากำลังเคลิ้มหลับอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงกบร้องดังขึ้นมา เขาไม่สามารถนอนต่อได้
จึงได้ลืมตาขึ้นมาแล้วก็เห็นงูตัวหนึ่งที่มุมมุ้ง อาเป่าจึงรีบลุกขึ้นและตีงูตัวนั้นตายไป

วันเดือนปี ผ่านไปอีกเนิ่นนาน นานจนอาเป่า ลืมเรื่องที่ตีงูตายไปแล้ว อยู่มาวันหนึ่ง เขาได้พบสุนัขที่น่ารักตัวหนึ่งบนถนนเขารู้สึกชอบสุนัขตัวนั้น และเมื่อสุนัขตัวนั้นได้เห็นเขา มันก็เดินตามเขาขึ้นไปด้วย และเมื่ออาเป่าเดินลงเขาเพื่อกลับบ้าน มันก็เดินตามกลับไปด้วย

วันหนึ่งอาเป่าได้พาสุนัขนั้นเดินขึ้นเขาเหมือนเคย ได้ผ่านวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีพระรูปหนึ่งยืนอยู่หน้าวัด พระรูปนั้นได้พูดกับอาเป่าว่า" ขอให้สุนัขตัวนี้เผ้าประตูวัดได้หรือไม่ " อาเป่าไม่ยินยอม จึงพูดกับพระรูปนั้นไปว่า "ทุกๆวันเจ้าสุนัขตัวนี้มันจะเดินตามกะรผมขึ้นลงเขาด้วยกันถ้าไม่มีมันก็เหมือนกับขาดเพื่อคู่ใจไป เหมือนกับว่าผมกับมันมีสัมพันธ์ต่อกันมาก่อน"

แท้จริงแล้วพระรูปนั้นต้องการแก้เหตุต้นผลกรรมระหว่างอาเป่ากับสุนัขตัวนั้นให้ จึงพูดกับอาเป่าไปว่า "สุนัขตัวนี้คืองูตัวที่ประสกตีตายไป และมันได้เกิดมาเป็นมุนัขตัวนี้ ถ้าหากประสกไม่เชื่อก็คอยดู ในตินกลางคืนของ วัน...เดือน..ปี... ให้ประสกเตรียมถุงใส่น้ำสีแดงวางไว้บนเตียง แล้วนำผ้าห่มคลุมปิดลงไป เมื่อถึงเวลานอนให้ปิดประตู ล็อคกลอนให้เรียบร้อย แล้วแอบมองดูใกล้ๆ ประสกก็จะเข้าใจได้เอง"

เมื่อถึงวันๆนั้นมาถึงแล้ว อาเป่าคิดว่าพระรูปนั้นคงจะไม่โกหกเขา จึงได้ทำตามคำแนะนำของพระรูปนั้น โดยเตรียมถุงน้ำแดง หาฟางมาคลุมทับ และเอาผ้าห่มปิดคลุมไว้อีกที พร้อมทั้งปิดประตูลงกลอน ส่วนตัวเขาเองก็คอยแอบดูอยู่

ไม่นานนัก สุนัขตัวนั้นก็อาละวาดขึ้นมา มันพยายามที่จะตะเกียกตะกาย ปีนป่ายเข้าไปปในห้องนั้นแต่ประตูลงกลอนเอาไว้แล้ว เมื่อมันไม่สามารถเข้าทางประตูได้จึงกระโดดเข้าไปทางหน้าต่างแทน....แล้วจึงกระโจนขึ้นไปบนเตียงทั้งกัดทั้งขย้ำจนถุงน้ำสีแดงนั้นแตก แต่มันก็ยังไม่พอใจแลอาละวาดต่ออย่างน่ากลัว

เมื่ออาเป่าเห็นเช่นนั้น ก็เกิดความโมโห และคิดในใจว่าฉันอุตส่าห์เลี้ยงดูแกเป็นอย่างดี แกก็เดินล้อมหน้าล้อมหลังฉันขึ้นเขาและลงเขาด้วยกัน วันนี้แกกลับจะทำร้ายฉัน ดังนั้นเพียงแค่อารมณืโมโหชั่ววูบ เขาจึงคว้าไม้ท่อนหนึ่งและตีสุนัขตัวนั้นตายไป เป็นการผูกกรรมต่อกันอีกทอดหนึ่ง

วันเวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่งอาเป่าก็ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นอีกเช่นเคย เช้าตรู่ของวันหนึ่ง อาเป่าก็เดินขึ้นเขาเพื่อไปทำนาด้วยอารมณ์ที่เปิกบานแจ่มใส ขณะที่เดินผ่านวัดแห่งนั้น พระรูปเดินก็ได้ยืนคอยเขาอยู่ที่หน้าประตูวัดแล้ว ท่านได้บอกกับอาป่าว่า "วันนี้ถ้าประสกได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเอง จงอย่าได้หันไปมอง" อาเป่าจึงตอบรับไปว่า "ขอรับพระคุณเจ้า" เขาได้เดินขึ้นเขาต่อด้วยอารมณ์ที่สดชื่นแจ่มใส มองดูทิวทัศน์บรรยากาศ ก็รู้สึกว่าสวยงามเป็นพิเศษ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเรียกว่า "อาเป่าๆ ๆ" อยู่หลายครั้ง เขาจึงลืมคำพูดกำชับของพระรูปนั้นไป และหันกลับไปมองตามเสียงเรียกชื่อเขานั้น แต่เขาก็ต้องตกในสุดขีด เพราะสิ่งที่เขาเห็นนั้นก็คือสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งหัวเป็นคน ตัวเป็นเป็นงู เขาจึงได้วิ่งกลับไปที่วัด เพื่อขอความช่วยเหลือจากพระรูปนั้นนั่นเอง เมื่อถึงวัดพระรูปนั้นจึงได้พูดขึ้นว่า "อาตมากำชับประสกแล้วว่าอย่าหันไปมอง ถ้าประสกทำตามก็จะไม่มีเรื่องอะไร แต่ตอนนี้ได้เกิดเรื่องเสียแล้ว อาตมาก็ไม่สามรถช่วนอะไรได้อีก"

เมื่อได้ฟังอย่างนั้นแล้วอาเป่าจึงคุกเข่าลงกับพื้นและอ้อนวอนขอให้พระท่านช่วยอีกครั้งหนึ่ง พระรูปนั้นจึงได้พูดขึ้นว่า "คืนนี้ประสกจงได้เข้าไปนอนในโอ่งที่อยู่ภายในโบสถ์ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แสดงว่ามันได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ถ้ายังไม่พ้น แสดงว่าเป็นเหตุต้นผลกรรมของประสกเอง"

เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นพระรูปนั้นจึงเข้าไปดูภายในโบสถ์ จึงได้เห็นสัตว์ประหลาดตัวนั้นเลื้อยพันอยู่รอบโอ่งและตายแล้ว ท่านจึงนำซากสัตว์นั้นออกจากโอ่งเพื่อช่วยอาเป่า จึงได้เห็นว่าอาเป่านอนตายอยู่ภายในโอ่งนั่นเอง ทั้งตัวกลายเป็นสีดำ ด้วยเมตตาจิตของท่าน ท่านจึงได้นำร่างของอาเป่าและร่างสัตว์ประหลาดตัวนั้นไปฝังไว้อยู่ที่ด้านหลังเขา โดยขุดเป็นหลุมสองหลุมคู่กัน หลุมหนึ่งฝังร่างอาเป่า และอีกหลุมหนึ่งฝังร่างของสัตว์ประหลาดตัวนั้น

วันเวลาผ่านไปได้ระยะหนึ่ง พระรูปนั้นก็ไปดูที่หลุมฝังร่างทั้งสองได้เห็นที่หลุมฝังร่างอาเป่ามีต้นไม้ต้นหนึ่งเกิดขึ้นมาส่วนหลุมฝังร่างสัตว์ประหลาดนั้น ก็มีเถาไม้เลื้อยชนิดหนึ่งอยู่ ไม่ว่าต้นไม้ที่หลุมฝังร่างอาเป่าจะโตเท่าไหน เถาไม้เลื้อยที่หลุมฝังร่างสัตว์ประหลาด ก็จะเลื้อยพันสูงเท่านั้น เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ท่านจึงนึกในใจว่า เหตุต้นผลกรรมเป็นเรื่องที่มลายได้ยาก หากว่าตอนมีชีวิตอยู่ไม่ยอมปล่อยวาง เมื่อตายไปแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อยวางอีก ยังคงอาฆาตแค้นตามติดไปตลอด

ท่านจึงได้ตัดต้นไม้นั้นและเถาไม้เลื้อยนั้น นำมาแกะสลักเป้นบักฮื้อและไม้เคาะบักฮื้อ และนำไปวางไว้หน้าพระพุทธรูป เพื่อต้องการใหสาธุชนที่มาที่วัด ได้รู้ถึงความเป็นมาของเหตุต้นผลกรรม เวลาสวดมนต์ก็จะนำมาใช้เคาะ ให้เกิดเสียงปลุกใจชาวโลกให้ตื่น จึงสรุปได้ว่า "เมื่อมีเหตุต้น ก็ย่อมมีผลกรรม ยากที่จะจบสิ้นเหตุต้นผลกรรมไปได้"